วันนี้ำนำความรู้เรื่องของอาการคันและโรคภูมิแพ้ และปัญหาผิวหนังสุนัขที่พบกันบ่อยๆ มาให้ได้ศึกษาเพื่อนำไปดูแลน้องหมาของเรากันครับ
สำหรับอาการคันในสุนัขนั้นจะดูได้จากการที่สุนัขใช้ขาหลังเกา นอนเลียบริเวณที่คันหงายหลังดิ้นไถลไปมา จนถึงกัดแทะตามตัวจึงเกิดบาดแผล
1 พยาธิภายนอก เช่น หมัด เห็บ เหา และไร อื่นๆ
2 โรคภูมิแพ้
บรรดาพยาธิภายนอกที่ทำให้น้องหมาคันเรื้อรังก็คือ หมัดและขี้เรื้อนแห้ง ซึ่งการรักษาก็ต้องกำจัดตัวพยาธิเหล่านี้ให้หมดไปจากตัวสุนัขอาการคันถึงจะทุเลาไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมหมัดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเจ้าหมัดนี้นอกจากทำให้คันแล้วยังส่งผลถึงปัญหาภูมิแพ้ของน้องหมาอีกด้วย
กลุ่มที่สองโรคภูมิแพ้ (Allergyl )
โรคภูมิแพ้นั้นเป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมภายนอกไวกว่าปกติ พบได้ถึงร้อยละ 15 ของสุนัขปกติซึ่งถือเป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นโรคเฉพาะตัว ตัวหนึ่งแพ้อีกตัวหนึ่งไม่แพ้ก็ได้ในคนนั้นโรคภูมิแพ้มักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น มีอาการ คัดจมูจ น้ำมูกน้ำตาไหล จาม แต่โรคภูมิแพ้ในสุนัขนั้นส่วนใหญ่มักจะมีอาการทางโรคผิงหนัง ซึ่งจะทำให้ผิวหนังอักเสบ แดง คัน และขนร่วง โดยพบได้ที่ผิวหนังสุนัขและใบหู
โรคภูมิแพ้ในสุนัขที่สำคัญ ได้แก่
โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergic Dermatitis)
เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุดในสุนัข
โรคภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy)
เป็นโรคภูมิแพ้ที่สุนัขได้รับสารก่อให้เกิดการแพ้จากอาหารที่กินเข้าไปซึ่งเกิดจากแพ้สารอาหารพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์กับคาร์โบไฮเดรต จากบรรดามันสำปะหลัง แป้ง หรือ กากถั่ว และนอกนั้นก็อาจจะแพ้พวกสารถนอมอาหารที่ใส่มาในอาหารสัตว์ วิธีแก้ไขก็ต้องเปลี่ยนอาหาร
โรคภูมิแพ้จากการสูดดม (Atopy)
เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการสูดดม ไรฝุ่น,ฝุ่นละออง,ละอองเกสรดอกไม้ฯลฯ
โรคแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis )
เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งพบบ่อยในการแพ้แชมพูที่อาบ โดยเฉพาะการใช้แชมพูของคน สบู่กรด น้ำยาล้างจาน หรือผงวักฟอกมาอาบให้สุนัข ซึ่งอาการที่พบก็คือผิวหนังสุนัขจะแดงทันทีหลังอาบน้ำ และมีอาการคันตามมา ซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้แชมพูยารักษาโรคผิวหนังมาใช้สำหรับสุนัขกลุ่มนี้
ส่วนการรักษาอาการคันและโรคภูมิแพ้
การให้ยาแก้คันจำพวกยาแก้แพ้ หรือสเตียรอยด์นั้น จะช่วยควบคุมอาการคันให้ลดลงได้ แต่ถ้าหากสาเหตุหลักไม่ได้ถูกแก้ไข สุนัขก็ยังคันไม่หาย เมื่อฤทธิ์ยาหมดก็จะกลับมาคันอีก ดังนั้น เราจึงต้องแก้ไขต้นเหตุทั้ง 2 กลุ่มควบคู่ไปด้วย ถึงจะหายขาด
0 comments:
Post a Comment